“GO WITH THE FLOW”
สินทรัพย์เสี่ยงโดยรวมให้ผลตอบแทนเป็นบวกตอบรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการคลายมาตรการล็อกดาวน์ และความคาดหวังต่อการคิดค้นวัคซีน ขณะที่สินทรัพย์ทางการเงินอื่นได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายของ Fed
September 2020
เดือน ส.ค. ที่ผ่านมาสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวมปรับตัวขึ้นนำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดหลังการคลายมาตรการล็อกดาวน์และความคาดหวังของการคิดค้นวัคซีน เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่และ REITs ทั่วโลกที่ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ REITs ไทยปรับตัวลงเล็กน้อยจากแรงกดดันด้านผลประกอบการ
ด้านสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในบางประเทศเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น เช่น สหรัฐฯ แต่จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังคงพุ่งเกินกว่า 25 ล้านคน ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อในบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และยุโรป กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งหลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้เกิดการระบาดในระลอกที่ 2 เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศเกิดใหม่หลายประเทศที่ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ ด้านการพัฒนาวัคซีน COVID-19 มีความคืบหน้ามากขึ้น โดยมีวัคซีนที่เข้าสู่การทดลองเฟส 3 กว่า 9 ตัวแล้ว ในขณะที่วัคซีน 2 ตัวจากจีนและรัสเซียมีการอนุมัติให้ทดสอบใช้ในวงจำกัด
ด้านธนาคารกลางและรัฐบาลทั่วโลกยังคงออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Fed ที่ยังคงเพิ่มขนาดงบดุลและปรับเป้าหมายเงินเฟ้อให้ยืดหยุ่นมากขึ้น กลายเป็นเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย สะท้อนการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำได้อีกนาน อีกทั้งยังสะท้อนการดำเนินนโยบายเชิงผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ทางการเงิน
ด้านประเด็นข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมามีความร้อนแรงมากขึ้นหลังสหรัฐฯ เปลี่ยนท่าทีจากการตั้งกำแพงภาษีเป็นการแบนธุรกิจเทคโนโลยีจีน โดยเริ่มจากการระงับการใช้งานแอปพลิเคชัน TikTok ในสหรัฐฯ การห้ามทำธุรกรรมกับบริษัท ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ TikTok ไปจนถึงการบังคับให้มีการขายธุรกิจ TikTok ในสหรัฐฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งมีการแบนในรูปแบบคล้ายกันกับแอปพลิเคชัน WeChat ของบริษัท Tencent โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่ากรณีดังกล่าวเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของสหรัฐฯ รวมถึงขู่ที่จะแบนบริษัทอื่นของจีนเพิ่มเติม ทำให้เกิดความผันผวนกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวอาจเป็นแค่ปัจจัยที่กดดันในระยะสั้นเนื่องจากธุรกิจเทคโนโลยีจีนส่วนใหญ่ยังมีสัดส่วนรายได้หลักจากในประเทศ
ด้านสถานการณ์การเมืองในสหรัฐฯ กลับมามีสีสันมากขึ้นหลังพรรคเดโมแครตประกาศเสนอชื่อ คามาลา แฮร์ริส ซึ่งเป็นชาวผิวสีและเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเสริมทัพให้กับ โจ ไบเดน เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากชาวผิวสีและประชาชนในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยผลสำรวจคะแนนความนิยมของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพบว่า โจ ไบเดน ยังคงมีคะแนนความนิยมสูงกว่า โดนัลด์ ทรัมป์
ในมุมของการปรับประมาณการกำไร หลังเข้าสู่ช่วงท้ายของการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของตลาดหุ้นทั่วโลกพบว่านักวิเคราะห์เริ่มชะลอการปรับลดประมาณการกำไรของตลาดหุ้นทั่วโลกลง หลังเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยตลาดที่เริ่มถูกปรับประมาณการกำไรขึ้น ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นไทย ยังคงไม่ได้รับการปรับประมาณการขึ้นเนื่องจากมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ช้ากว่า
ในเดือนนี้เราเห็นสัญญาณการดำเนินนโยบายเชิงผ่อนคลายของ Fed มากขึ้น เช่นเดียวกับโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่ยังมีมูลค่าที่ยังไม่แพงเมื่อเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลให้ REITs ไทย-สิงคโปร์ ทองคำ และหุ้นเวียดนาม มีความน่าสนใจมากขึ้น
สำหรับในเดือนนี้เรายังคงมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุนโดยให้กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์และทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำหลัง Fed มีแนวทางในการดำเนินนโยบายเชิงผ่อนคลายที่ยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึง REITs ไทย-สิงคโปร์ และหุ้นเวียดนามซึ่งยังมีระดับมูลค่าที่น่าสนใจ โดยแนะนำให้เฝ้าติดตามสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 และตัวเลขเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อรอโอกาสในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีเพิ่มขึ้นหากตลาดมีการปรับฐานในอนาคต