Guard First, Strike Later
ผ่านไปอีกหนึ่งปีสำหรับการลงทุนที่มีความผันผวนเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา สำหรับปี 2022 ซึ่งเป็นปีที่พอร์ตการลงทุนแบบ Asset Allocation เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ โดยเราได้เห็นสินทรัพย์หลักทั้งตราสารหนี้และหุ้นติดลบอย่างรุนแรงพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้ค่อนข้างยาก พร้อมกับเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ช่วงการชะลอตัวและเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยมากยิ่งขึ้นหลังผ่านช่วงการฟื้นตัวหลังเหตุการณ์วิกฤต COVID-19 โดยการใช้นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่เข้มงวดขึ้นนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วมากที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคาสินทรัพย์การเงินทั่วโลก ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงในรอบหลายทศวรรษ จากทั้งปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ปัญหาการแพร่ระบาด และสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย นอกจากนั้นทางจีนยังมีปัจจัยกดดันเฉพาะตัวจากการควบคุมบริษัทภายในประเทศและการใช้นโยบาย Zero-COVID ซึ่งทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีความล่าช้า ประกอบกับยังถูกกดดันจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้ปี 2022 จัดเป็นปีที่ยากต่อการลงทุนค่อนข้างมาก
ผ่านไปอีกหนึ่งปีสำหรับการลงทุนที่มีความผันผวนเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา สำหรับปี 2022 ซึ่งเป็นปีที่พอร์ตการลงทุนแบบ Asset Allocation เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ โดยเราได้เห็นสินทรัพย์หลักทั้งตราสารหนี้และหุ้นติดลบอย่างรุนแรงพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้ค่อนข้างยาก พร้อมกับเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ช่วงการชะลอตัวและเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยมากยิ่งขึ้นหลังผ่านช่วงการฟื้นตัวหลังเหตุการณ์วิกฤต COVID-19 โดยการใช้นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่เข้มงวดขึ้นนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วมากที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคาสินทรัพย์การเงินทั่วโลก ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงในรอบหลายทศวรรษ จากทั้งปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ปัญหาการแพร่ระบาด และสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย นอกจากนั้นทางจีนยังมีปัจจัยกดดันเฉพาะตัวจากการควบคุมบริษัทภายในประเทศและการใช้นโยบาย Zero-COVID ซึ่งทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีความล่าช้า ประกอบกับยังถูกกดดันจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้ปี 2022 จัดเป็นปีที่ยากต่อการลงทุนค่อนข้างมาก
มองไปข้างหน้าในปี 2023 เรามองว่าตลาดยังคงมีหลายปัจจัยความเสี่ยงที่รอเผชิญอยู่หลายประเด็น ทั้งในเรื่องของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเมือง นโยบายการควบคุมการแพร่ระบาด ตลอดจนความเสี่ยงทางด้านภัยธรรมชาติ โดยปัจจัยเหล่านี้เป็นไปได้ทั้งความเสี่ยงด้านลบและความเสี่ยงด้านบวก ซึ่งพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เราคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกนำโดยสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงและมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มากยิ่งขึ้น หรือกล่าวได้ว่าอยู่ในช่วง Late Cycle โดยในวัฏจักรนี้เรามองว่าการลงทุนในหุ้นจะมีความน่าสนใจลดลงจากความเสี่ยงของการชะลอตัวลงของกำไรบริษัทจดทะเบียนตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้มีแนวโน้มกลับมาโดดเด่นมากยิ่งขึ้นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อยู่ในระดับสูง โดยเรามองว่าอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยและยังใช้ระยะเวลาในการปรับตัวลดลงกลับมาอยู่ในระดับเป้าหมายของ Fed ที่ 2% ซึ่งน่าจะทำให้ Fed ยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเล็กน้อยในปี 2023 และคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อกดให้เงินเฟ้อปรับตัวลดลง โดยเรามองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวในท้ายที่สุด และจะเริ่มเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้มากยิ่งขึ้นตามภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับการลงทุนในหุ้น เรามองว่าหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและเหมาะสมกับภาวะตลาดที่ผันผวน ได้แก่ กลุ่ม Health Care, Utilities และ Consumer Staples ขณะที่หุ้นกลุ่ม Mid/Small Cap จะยิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้นหลังจากตลาดผ่านช่วงจุดต่ำสุดไปแล้วหลังปรับตัวลงมามากและมี Valuation ที่ถูกจนน่าสนใจ อีกทั้งบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่สามารถเอาตัวรอดในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำมาได้ มักจะมีหลายบริษัทที่มีโอกาสเติบโตกลับไปได้มากขึ้น โดยเรามองว่ากลยุทธ์การเลือกหุ้นในปี 2023 จะต้องมีความ Selective และเน้นไปที่ปัจจัยพื้นฐานรายบริษัทมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดทุนไม่ได้มีปัจจัยหนุนทางด้านสภาพคล่องที่ล้นตลาดและ Multiple expansion ในด้าน Valuation เหมือนในยุคดอกเบี้ยต่ำและ QE อีกแล้ว อย่างไรก็ตามวัฏจักรเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคอาจมีความแตกต่างกัน ทำให้เรามองว่ายังมีโอกาสในการลงทุนในกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงกำลังจะผ่านจุดต่ำสุด เช่น จีนที่เริ่มเห็นสัญญาณการเปิดประเทศที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และกลุ่มประเทศที่ยังคงอยู่ในช่วงการฟื้นตัว เช่น ไทย เวียดนาม และญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนั้นเรายังมองว่าธีม Reopening Play จะยังคงเป็นธีมที่มีโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่องในกลุ่มประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังฟื้นตัวไม่ได้เต็มที่ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเอเชีย กลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการแพทย์ ส่วนธีมการลงทุนระยะกลาง-ยาว ที่โดดเด่นจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศทั้งในด้านพลังงานและความปลอดภัย
สำหรับกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2023 ตามธีม “Guard First, Strike Later” เราแนะนำให้จัดพอร์ตการลงทุนแบบเชิงรับในช่วงแรกที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะการชะลอตัวและความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจเป็นแกนกลางหลัก และกระจายการลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่ไม่ได้มากจนเกินไป โดยทยอยสะสมและปรับสมดุลพอร์ตสำหรับหุ้นที่ยังเติบโตได้ในระยะยาว และจับจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นที่อยู่ในภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงกำลังผ่านจุดต่ำสุดตลอดจนช่วงการฟื้นตัว และกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ โดยเรายังมองว่าปี 2023 นี้ พอร์ตการลงทุนแบบ Asset Allocation จะกลับมาได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงที่มากขึ้น และเหมาะกับการทยอยเพิ่มความเสี่ยงกลับมาในจังหวะที่เหมาะสมอีกครั้งตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกที่สะท้อนภาวะการชะลอตัวไปเรียบร้อยแล้วในระยะถัดไป