When Fundamentals Meet Valuation

🔹 เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงเล็กน้อย ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นนำตลาดมาจากกลุ่มเทคโนโลยีจีนที่ฟื้นตัวจากกระแส AI ของจีนและการกลับมาสนับสนุนของรัฐบาลจีน ด้านยุโรปยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นนำตลาดพัฒนาแล้ว โดยได้แรงหนุนจากการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ขณะที่ราคาตราสารหนี้โลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ตาม Bond Yield ที่ปรับตัวลดลง และทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกที่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำตลาด ท่ามกลางแรงซื้อของนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

INDEGO Monthly Outlook
March 2025
“When Fundamentals Meet Valuation”

🔹 เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงเล็กน้อย ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นนำตลาดมาจากกลุ่มเทคโนโลยีจีนที่ฟื้นตัวจากกระแส AI ของจีนและการกลับมาสนับสนุนของรัฐบาลจีน ด้านยุโรปยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นนำตลาดพัฒนาแล้ว โดยได้แรงหนุนจากการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ขณะที่ราคาตราสารหนี้โลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ตาม Bond Yield ที่ปรับตัวลดลง และทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกที่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำตลาด ท่ามกลางแรงซื้อของนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

🔹 ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.65% ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ตาม ECB ยังมีการปรับลดคาดการณ์ GDP ในปี 2025 ลง จาก 1.1% สู่ 0.9% นอกจากนี้ ทางฝั่งประเทศไทย กนง. ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งเหนือการคาดการณ์ของตลาด

🔹 หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยกดดันมาจากตัวเลข PMI ภาคบริการที่ขยายตัวในอัตราที่ลดลง รวมถึงอัตราการเติบโตของ GDP ในไตรมาส 4 ที่ลดลง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและภาษีตอบโต้ของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศใช้ต่อนานาชาติ ส่งผลให้ตลาดเกิดความกังวล อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังมีนโยบายที่รอดำเนินการ ซึ่งสามารถหนุนธุรกิจในประเทศและลดรายจ่ายให้ประชาชนได้ ได้แก่ การลดภาษีนิติบุคคล และการยกเว้นภาษีบุคคลบางประเภท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดในช่วงหลังจากนี้ได้

🔹 ด้านหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีการปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมี Forward PE อยู่ที่ราว 35 เท่า ขณะที่การประมาณการของ EPS ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แตกต่างจากช่วงวิกฤต Dot-com อย่างชัดเจนที่ Forward PE อยู่ที่ประมาณ 50-60 เท่า แต่มีระดับราคาที่เติบโตไม่สอดคล้องกับพื้นฐานการเติบโตของกำไร อีกทั้งเมื่อเทียบระหว่างกลุ่ม Mag7 เช่น Amazon กับผู้นำกลุ่ม Old economy อย่าง Walmart กลับกลายเป็นกลุ่มหุ้นผู้นำด้านเทคโนโลยีกลับมีการซื้อขายที่ Forward P/E ต่ำกว่า ขณะที่การเติบโตของกำไรสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ทำให้เรามองว่าการย่อตัวของตลาดในรอบนี้เป็นจังหวะที่ดีในการสะสมหุ้นสหรัฐฯ โดยกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งในระดับมูลค่าที่สมเหตุสมผล

🔹 มาที่ฝั่งจีน ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนซบเซาในระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาคือ วิกฤตของกลุ่มอสังหาฯ ความท้าทายจากภาวะสังคมวัยที่มีประชากรเกิดใหม่น้อย และการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามล่าสุด รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและภาคเอกชน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับพัฒนาของ AI จีน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาด อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบราคาปัจจุบันของหุ้นผู้นำเทคโนโลยีอย่างกลุ่ม Terrific 10 ส่วนใหญ่ยังมีราคาต่ำกว่าจุดสูงสุดในช่วงก่อนเกิดวิกฤต Covid-19 อย่างมีนัยสำคัญ และซื้อขายที่ Forward P/E ไม่ถึง 20 เท่า โดยเราแนะนำให้ลงทุนในหุ้นจีนที่เป็นกลุ่มผู้นำดังกล่าวแบบกระจุกตัว หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน โดยมีการควบคุมสัดส่วนในระดับที่เหมาะสมตามความเสี่ยง

🔹 ด้านผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยุโรปไตรมาสล่าสุดยังคงเติบโตได้เพียงเล็กน้อย อีกทั้งยังมีรายได้และกำไรที่เติบโตเพียงบางอุตสาหกรรม นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังมีปัจจัยกดดันด้านสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี แต่อาจมีโอกาสดีขึ้น แต่ยังเจอความท้าทายจากการที่ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้ายุโรปในอัตรา 25% สำหรับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

🔹 กลับมาที่ไทย ตลาดสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ กำลังชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและ NPL ที่ยังสูง ทำให้ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่ GDP ไทยซึ่งพึ่งพาการบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐก็มีแนวโน้มชะลอตัว อีกทั้งฝั่งรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างจำกัดจากภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ทำให้หุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจน้อยสวนทางกับตราสารหนี้ระยะกลางที่มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยขาลงตามการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

🔹 ด้านตลาดหุ้นอินโดนีเซียเผชิญแรงกดดันจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากความกังวลเรื่องสงครามทางการค้า ส่งผลให้ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 5 ปี และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจำกัดความสามารถของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ในการลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังเผชิญความไม่แน่นอนจากการจัดตั้งกองทุน Danantara Indonesia ที่ยังขาดความชัดเจน อย่างไรก็ตาม BI ให้คำมั่นแทรกแซงค่าเงินเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ. ลดลง 0.09% (YoY) เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี อาจเอื้อต่อการลดดอกเบี้ยในอนาคต รวมไปถึงดัชนี JCI มี Forward P/E ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ไม่รวมช่วง COVID-19 ทำให้หุ้นอินโดนีเซียน่าสนใจมากขึ้นในมุมของ Valuation

🔹 ตลอด 1 ปีย้อนหลังที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ (Sideway) ซึ่งถูกกดดันจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกอย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากความผันผวนของค่าเงินดองเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และความไม่แน่นอนด้านผลกระทบของสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม ล่าสุดราคาหุ้นเวียดนามได้เบรคกรอบ Sideway เป็นขาขึ้นรอบใหม่แล้ว อีกทั้ง ตลาดยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่รัฐบาลเวียดนามได้ตั้งเป้าการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ที่ 6.5%-7% และจะพยายามทำให้ถึง 8% จากการสนับสนุนโดยภาครัฐ และการบริโภคในประเทศ ทำให้เรามองว่าเวียดนามเป็นตลาดที่เหมาะต่อการเพิ่มสัดส่วนในการลงทุน

🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เรายังคงมุมมองคำแนะนำผ่านการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมในหลายประเภทสินทรัพย์ และหลากหลายภูมิภาค โดยเน้นสะสมหุ้นโลกที่มีการกระจายตัวและอยู่ในกลุ่ม Growth และ Quality รวมไปถึงหุ้นสหรัฐฯ จากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ และทยอยสะสมหุ้นจีน จากแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดหุ้นนำโดยกลุ่มเทคโนโลยีจากกระแสการเติบโตของ AI ในจีน รวมไปถึงสะสมหุ้นญี่ปุ่น เวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย ขณะที่ตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ยังแนะนำทยอยสะสมต่อไป เนื่องจาก Bond Yield ทียังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามเราแนะนำให้ลดสัดส่วนหุ้นไทยส่วนใหญ่ไปลงทุนในส่วนกองทุนหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากโอกาสการเติบโตที่ยังไม่มากและยังไม่มีปัจจัยใหม่มาสนับสนุน ยกเว้นในส่วน LTF ที่ยังคงค้างที่สามารถโอนไปลงทุนใน THAI ESGX ได้ และส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้น Active สำหรับ THAI ESG

อ่านฉบับเต็มคลิก: https://www.indegowealth.com/wp-content/uploads/2025/03/INDEGO-WEALTH-Monthly-Presentation-Mar-2025-LN.pdf

INDEGO
Independence for Global Opportunities

#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด

✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.

  • SHARE
Contact
Contact