The Beginning of the Rate Cut
🔹 เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นนำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากกระแส AI และหุ้นอินเดียที่ปรับตัวขึ้นรับผลการเลือกตั้ง ด้านราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ตราสารหนี้และ REITs โลกยังทรงตัวตามการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังอยู่ในทิศทางการชะลอตัวลง
INDEGO Monthly Outlook
July 2024
“The Beginning of Rate Cut”
🔹 เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นนำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากกระแส AI และหุ้นอินเดียที่ปรับตัวขึ้นรับผลการเลือกตั้ง ด้านราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ตราสารหนี้และ REITs โลกยังทรงตัวตามการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังอยู่ในทิศทางการชะลอตัวลง
🔹 ด้านผลการประชุม FOMC คณะกรรมการ Fed มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ตามตลาดคาดการณ์ และได้ปรับลดคาดการณ์แผนการลดดอกเบี้ยจาก 3 ครั้งเหลือ 1 ครั้ง ขณะที่ ECB เริ่มปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ทำให้เรามองว่าวัฏจักรของดอกเบี้ยขาขึ้นได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และเป็นโอกาสในการสะสมตราสารหนี้และสินทรัพย์กลุ่ม Yield Play ที่จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่ลดลง
🔹 สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจธีมแรกในช่วงนี้ คือ กลุ่ม Healthcare ที่ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่โดดเด่นกว่าดัชนี S&P500 จากปัจจัยหนุนของการเติบโตในอุตสาหกรรมยา โดยเฉพาะกลุ่มยาลดความอ้วนและยารักษาเบาหวาน ขณะที่กลุ่มดังกล่าวยังมีระดับ valuation ที่ต่ำกว่าตลาด นอกจากนี้ ด้านโมเมนตัมของกลุ่ม Healthcare เมื่อเทียบกับหุ้นโลกแล้วกำลังอยู่บริเวณแนวรับของเทรนด์ที่ปรับตัวขึ้นได้โดดเด่นกว่าหุ้นโลกในระยะยาว จึงมองเป็นจุดที่น่าสนใจในการสะสมลงทุน
🔹 สำหรับธีมการลงทุนที่ 2 ที่น่าสนใจ เรามองว่ากลุ่ม Global Infrastructure เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากแนวโน้มของดอกเบี้ยขาลงหลัง ECB เริ่มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยจากสถิติในอดีต ดัชนีของหุ้นกลุ่ม Global Infrastructure โลกมักทำผลตอบแทนได้ดีหากลงทุนในช่วงที่ ECB เริ่มปรับลดดอกเบี้ย ประกอบกับสินทรัพย์ดังกล่าวยังมีความสามารถในการทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อเนื่องจากโครงสร้างรายได้มักมีสัญญาในการปรับขึ้นราคาที่ผูกกับดัชนีเงินเฟ้อ อีกทั้งยังมีกลุ่มธุรกิจบางประเภทที่ยังได้ประโยชน์จากกระแส AI ในทางอ้อม เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ได้อานิสงส์จากแนวโน้มการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าของ Data Center ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
🔹 ด้านการเมืองในยุโรปมีความผันผวนที่มากขึ้น หลังพรรคฝ่ายขวาได้รับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสภายุโรปที่มากขึ้น ส่งผลให้การดำเนินนโยบายและการผ่านร่างกฎหมายของยุโรปในอนาคตอาจทำได้ยากขึ้น เช่น นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม นโยบายการสนับสนุนยูเครน ขณะที่การเลือกตั้งของฝรั่งเศสก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่พรรคฝ่ายขวาจัดอย่าง National Rally ของมารีน เลอแปงมีคะแนนนิยมมาเป็นอันดับแรก และอาจทำให้ฝรั่งเศสประสบปัญหาทางด้านการคลังเพิ่มขึ้นในอนาคตจากแนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ทางคณะกรรมาธิการยุโรปยังได้มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนขึ้นเป็นสูงสุดกว่า 38.1% โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ชั่วคราวในวันที่ 4 ก.ค. แต่ยังอาจมีการเจรจากับจีนอีกครั้งก่อนจะปรับใช้ภาษีดังกล่าวถาวรในช่วงเดือน พ.ย. ปีนี้
🔹 ในฝั่งของตลาดหุ้นอินเดียได้ปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ขานรับผลการเลือกตั้งที่เป็นชัยชนะของพรรค BJP และกลุ่ม NDA ทำให้นายโมดีได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อสมัยที่ 3 ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในเดือน มิ.ย. โดยดัชนี IDX30 มีระดับ Valuation ที่น่าสนใจที่ Forward P/E ราว 11.5x ซึ่งอยู่ในโซนราว -2SD แล้ว มองเป็นจุดที่น่าสะสมลงทุน
🔹 ด้านเศรษฐกิจจีนยังคงมีปัจจัยกดดันมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังชะลอตัว โดยดัชนีราคาบ้านในจีนยังปรับตัวลดลงกว่า 4.3% จากปีก่อน ในเดือน พ.ค. ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ในจีนเริ่มมีสัญญาณการหดตัวน้อยลงเหลือ -26.4% จากปีก่อน ในเดือน พ.ค. ซึ่งเริ่มสะท้อนว่ามาตรการของภาครัฐ ทั้งการผ่อนปรนกฎการซื้อบ้านใน 3 เมืองใหญ่ การให้หน่วยงานท้องถิ่นซื้อบ้านที่ขายไม่ออก และการเปิดโอกาสให้มีการใช้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำอาจช่วยเพิ่มอุปสงค์ให้กับตลาดได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว การคงยอดขายบ้านยังเป็นเรื่องท้าทายจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ
🔹กลับมาดูที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องจนดัชนี SET ลงมาอยู่บริเวณ 1,300 จุด โดยหุ้นไทยยังเผชิญความท้าทายในการเติบโตจากประเด็นหนี้ครัวเรือนในระดับสูง การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยการเมือง อย่างไรก็ตามในระยะสั้นเรามองว่าดัชนีอาจมีปัจจัยสนับสนุนมาจากงบประมาณภาครัฐที่เริ่มถูกเบิกจ่ายมากขึ้นในครึ่งปีหลัง มาตรการเพิ่มวงเงินของกองทุน ThaiESG และมาตรการ Uptick Rule ที่อาจทำให้ธุรกรรม Short Sale ลดลงในระยะสั้น โดยเราประเมินว่าหาก EPS ของ SET ณ สิ้นปีอยู่ที่ระดับราว 80-85 จุด และประเมิน Earning Yield Gap ที่ค่าเฉลี่ย 15 ปีย้อนหลังที่ราว 3.20% เป้าหมาย SET ณ สิ้นปี 2024 อาจอยู่ในกรอบ 1,356-1,441 จุด โดยมองจุดสะสมลงทุนบริเวณที่สูงกว่า Earning Yield Gap +1SD หรือ กรอบดัชนีบริเวณต่ำกว่า 1,156-1,228 จุด โดยเราแนะนำลงทุนในกองทุนหุ้นไทยที่มีนโยบายการคัดเลือกหุ้นเชิงรุกที่มีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นกว่าตลาดทั้งในรูปแบบกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG หรือกองทุนรวมปกติ
🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เรายังคงมุมมองคำแนะนำผ่านการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมในหลายประเภทสินทรัพย์ และหลากหลายภูมิภาค โดยแนะนำทยอยสะสมสินทรัพย์หุ้น หลังเศรษฐกิจโลกยังแข็งแกร่ง นำโดยหุ้นสหรัฐฯ หุ้นญี่ปุ่น รวมถึงหุ้นในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนามและอินเดีย รวมถึงธีมการลงทุนในกลุ่ม Healthcare ที่ยังมีการเติบโตที่น่าสนใจและยังมีมูลค่าที่ต่ำกว่าดัชนี เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนได้ และสะสมสินทรัพย์ Global Infrastructure ที่ยังมีพื้นฐานแข็งแกร่งและน่าสนใจช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มจะเข้าสู่ขาลง ขณะที่ตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ยังแนะนำทยอยสะสมต่อไป
INDEGO
Independence for Global Opportunities
#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด
✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.