The New Rising STAR

🔹 เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่ Fed ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ อีกทั้งตลาดยังมีปัจจัยขับเคลื่อนจากฤดูประกาศผลประกอบการ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างตลาดหุ้นเวียดนามและตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่น โดยเวียดนามได้รับแรงหนุนจากกลุ่มอสังหา ผ่านการอนุมัติโครงการก่อสร้างหลายแห่ง ขณะที่จีนได้ปัจจัยบวกจากมาตรการรัฐที่เร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ

INDEGO Monthly Outlook
September 2025
“The New Rising STAR”

🔹 เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่ Fed ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ อีกทั้งตลาดยังมีปัจจัยขับเคลื่อนจากฤดูประกาศผลประกอบการ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างตลาดหุ้นเวียดนามและตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่น โดยเวียดนามได้รับแรงหนุนจากกลุ่มอสังหา ผ่านการอนุมัติโครงการก่อสร้างหลายแห่ง ขณะที่จีนได้ปัจจัยบวกจากมาตรการรัฐที่เร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ

🔹 หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นเดือนที่แล้ว คือการรายงานผลประกอบการ Q2 2025 ของบริษัทในดัชนี S&P500 โดยภาพรวมมีรายได้เติบโต 6.4% (YoY) นับเป็นการเติบโต 19 ไตรมาสติดต่อกัน รวมถึงกำไรสุทธิเติบโตที่ 11.9% (YoY) นับเป็นการเติบโตระดับเลขสองหลักของกำไรต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้ FactSet ยังปรับเพิ่มคาดการณ์ S&P500 ขึ้น โดยคาดว่าบริษัทในดัชนี S&P500 จะมีรายได้เติบโต 6.0% (YoY) และกำไรสุทธิเติบโต 10.6% (YoY) ในปี 2025

🔹 อีกหนึ่งปัจจัยบวกที่สนับสนุนตลาดหุ้นในเดือนที่แล้ว คือการที่นักลงทุนให้น้ำหนักว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. สูง หลังตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีสัญญาณชะลอตัวลง นอกเหนือจากนี้ การคาดการณ์ดังกล่าวยังได้แรงหนุนจากคำกล่าวสุนทรพจน์ของเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ในการประชุม Jackson Hole ที่มีการส่งสัญญาณผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนที่สุดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังล้วนอยู่เหนือกรอบเป้าหมายของ Fed

🔹หลังวัน Liberation มี Flow ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนอย่างชัดเจน โดยตลาดหุ้นจีน H-Share ในเดือน ส.ค. มีเงินไหลเข้ามากกว่าช่วงเดือน เม.ย. กว่า 3 เท่า ขณะที่ตลาด A-Share มีมูลค่าการซื้อขายพุ่งขึ้นใกล้เคียงระดับสูงสุดในปี 2015 ปัจจัยหนุนคือ การที่ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์และเงินฝาก ให้ผลตอบแทนต่ำ ทำให้นักลงทุนในประเทศหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น

🔹 นอกจากนี้ การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน ยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่จีนส่งเสริมการพึ่งพาอุตสาหกรรมชิป AI ภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานปัญญาประดิษฐ์ (AI Supply Chain) และสอดคล้องกับ “ยุทธศาสตร์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง” ที่ทางการจีนวางแผนไว้ตั้งแต่ปี 2020 โดยบริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับผลประโยชน์จากปัจจัยข้างต้นคือบริษัทเทคโนโลยีในตลาดหุ้นฮ่องกงและ STAR 50

🔹 ทางด้านหุ้นกลุ่ม Healthcare ในภาพรวมให้ผลตอบแทนที่ Laggard ตลาดหุ้นโลก เนื่องจากกลุ่ม US Healthcare ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักถูกกดดันจากหลายปัจจัย อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่จะมาสนับสนุนกลุ่ม Healthcare คือแนวโน้มการเติบโตของกำไรของบริษัทยาขนาดใหญ่ที่ยังมีการเติบโตสวนทางกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก รวมถึงการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในสหรัฐฯ ของบริษัทยาชั้นนำ เพื่อได้รับผลประโยชน์ด้านภาษีจาก Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือ อุตสาหกรรม Biotech ที่จะเป็นแรงหนุนให้กับกลุ่ม Healthcare โดยรวม จากการที่บริษัทเพิ่มยอด R&D อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเร่งอนุมัติยาใหม่โดย FDA

🔹 สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Ethereum ก้าวขึ้นเป็นโครงสร้างหลักของตลาดดิจิทัล ด้วยบทบาทสำคัญในการรองรับทั้ง Stablecoin และ DeFi ขณะเดียวกัน การเปิดกว้างเชิงนโยบายกำลังเอื้อต่อการยอมรับจากภาคสถาบัน ทำให้นักลงทุนรายใหญ่เร่งสะสม ETH โดยมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตเหนือกว่า Bitcoin

🔹 ทางด้านประเทศอินเดียยังคงพยายามรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย แม้เผชิญแรงกดดันด้านภาษีจากสหรัฐฯ แต่เศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีมาตรการรัฐที่กระตุ้นการบริโภคและดึงดูดเงินทุนต่างชาติ หนุนให้อินเดียก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก

🔹 ขณะเดียวกันตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาฯ หลังรัฐบาลเวียดนามได้มีการผ่อนคลายสภาพคล่องในระบบธนาคาร การเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ การเร่งเดินหน้าโครงการและการอนุมัติโครงการมากขึ้น ตลอดจนมาตรการรัฐที่ช่วยปลดล็อกอุปสรรคเชิงกฎระเบียบ จาก “Doi Moi 2.0” (โด่ย เหมย) อย่างไรก็ตาม ทางด้านปัจจัยที่นักลงทุนกังวลอย่าง Margin Lending ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่นั้น คิดเป็นเพียง 5% ของ Market Cap เท่านั้น

🔹 ด้านตัวเลข GDP ไทย ไตรมาส 2/2025 ขยายตัว 2.8% (YoY) สูงกว่าที่คาดการณ์ที่ขยายตัว 2.5% แต่ยังชะลอลงจาก 3.2% (YoY) ในไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของภาคบริการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายทั้งการบริโภคภาคเอกชนและภาครัฐฯ ที่ชะลอตัวลง การชะลอตัวลงของ GDP ไทยในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการลดอัตราดอกเบี้ยลงของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมกับจำนวนครั้งในการลดดอกเบี้ย (Policy Space) ที่น้อยลง

🔹 เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ Global REITs จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง เป็นผลให้ส่วนต่างอัตราเงินปันผล Global REITs กับอัตราดอกเบี้ย Fed Funds Rate จะกลับมาน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ สินทรัพย์ Global REITs มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างแข็งแกร่ง โดยในปัจจุบันมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ 4.25% รวมถึงมีการปรับคาดการณ์เงินปันผลที่เพิ่มขึ้น 1.94% และ 1.51% ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ

🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เราแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรระยะสั้นเพื่อเก็บกำไรและ rebalance พอร์ตสำหรับหุ้นโลกและเวียดนามที่ปรับตัวขึ้นมาร้อนแรง และทยอยสะสมสินทรัพย์เสี่ยงอย่างระมัดระวังสำหรับการลงทุนระยะยาวโดยแนะนำสะสมกองทุนหุ้นจีนและอินเดีย ตราสารหนี้โลกและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึง Defensive Asset เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี อยู่เหนือระดับ 4% และอัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจในรอบทศวรรษ นอกจากนี้ยังมีโอกาสทำกำไรหากเศรษฐกิจชะลอตัว และยังได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอจากดอกเบี้ย

อ่านฉบับเต็มคลิก : https://www.indegowealth.com/wp-content/uploads/2025/09/INDEGO-WEALTH-Monthly-Presentation-Sep-2025-LN-1.pdf

INDEGO
Independence for Global Opportunities

#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด

✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.

  • SHARE
Contact
Contact