The Pivotal Moment

🔹 เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ตลาดในภาพรวมปรับตัวขึ้นนำโดยหุ้นจีนฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่หุ้นไทยและ REITs ไทยฟื้นตัวจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวขึ้นหลังจากธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลงนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ส่งผลให้สินทรัพย์กลุ่มประเภท Yield Play

INDEGO Monthly Outlook
October 2024
“The Pivotal Moment”

🔹 เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ตลาดในภาพรวมปรับตัวขึ้นนำโดยหุ้นจีนฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่หุ้นไทยและ REITs ไทยฟื้นตัวจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวขึ้นหลังจากธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลงนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ส่งผลให้สินทรัพย์กลุ่มประเภท Yield Play ปรับตัวเพิ่มขึ้นนำโดย REITs โลกรวมถึงตราสารหนี้จากตัวเลขเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงหลังจากมีการคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันจะมีมากขึ้นสวนทางกับอุปสงค์ที่ชะลอตัว ส่วนทองคำยังปรับตัวขึ้นแรงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed รวมทั้งสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ตึงเครียดมากขึ้น

🔹 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 4.75% – 5.00% ตามคาด ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 2 ครั้งในปีนี้ สำหรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในรอบการประชุมนี้ Fed ได้มีการปรับคาดการณ์ GDP growth ปี 2024 เป็นขยายตัว 2.0% จากเดิม 2.1% และคงคาดการณ์ปี 2025 และ 2026 ว่าจะขยายตัวที่ระดับ 2.0% อีกทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงพร้อมลดคาดการณ์ GDP ขณะที่ BoE ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00%

🔹 สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง โดยดัชนีนำทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวสวนทางความกังวล Recession อีกทั้งตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2024 ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ขณะที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านผู้บริโภคส่วนบุคคล (PCE) ออกมาต่ำกว่าคาด

🔹 จับตาการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. นี้ ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้ยังคงใช้รูปแบบ และจำนวน สส. กับ สว. เหมือนกับการเลือกตั้งคราวก่อน รวมถึงรัฐที่แต่ละพรรคยังคงต้องให้ความสำคัญ อาทิ รัฐที่มีจำนวน สส. จำนวนมาก เช่น California รวมถึงรัฐ Swing State ที่ยังเป็นสมรภูมิการเลือกตั้งที่น่าจับตาในการเลือกตั้งทุกครั้ง ซึ่งหากดูจากผลโหวตในรัฐ Swing State แล้ว ยังไม่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนว่าพรรคไหนจะได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดี แต่ทั้งนี้มีสิ่งที่ออกมาชัดเจนแล้วคือรายละเอียดนโยบายการหาเสียงของทั้งสองพรรค ซึ่งนโยบายข้างต้นส่วนใหญ่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างทั้งสองพรรค ทั้งนี้นโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดที่น่าจับตามอง เช่น นโยบายการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคล และภาษีนำเข้า

🔹 ในด้านสินทรัพย์การลงทุนที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง เรามองว่า REITs และกลุ่ม Infrastructure มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากแนวโน้มดังกล่าว จากทั้งในมุมปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งจากรายได้และกำไรที่เติบโตสม่ำเสมอและจากมุม valuation ที่น่าสนใจ โดยปัจจุบันจะเริ่มเห็นว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงจากทั้ง 2 กลุ่มเริ่มอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี อีกครั้งแล้ว ทำให้เม็ดเงินลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวในช่วงการปรับลดดอกเบี้ย ประกอบกับ valuation และราคาของทั้ง 2 สินทรัพย์ปรับตัวขึ้นช้ากว่าหุ้นโลกมานาน

🔹 ด้านเศรษฐกิจจีนโดยภาพรวมยังอ่อนแอสะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังออกมาต่ำกว่าคาดโดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการจากสถาบัน Caixin ชะลอตัวลงเล็กน้อย ประกอบกับราคาบ้านมือสองของจีนยังคงติดลบต่อเนื่องและอัตราการว่างงานในเดือน ส.ค. ที่ออกมาสูงกว่าคาด ส่งผลให้รัฐบาลจีนออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้น GDP ของจีนให้มีโอกาสถึง 5% ตามเป้าหมาย ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงฟื้นตัวอย่างรุนแรง

🔹 นอกจากจีนแล้วหลายตลาดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังคงมีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund flow) เริ่มไหลเข้าสู่ตลาด EM มากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ล่าสุดเงินเฟ้อของอินเดียเริ่มต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารกลางอินเดีย ส่งผลให้ธนาคารกลางอินเดียมีโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตและ MSCI EM ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักในหุ้นอินเดียและลดน้ำหนักหุ้นจีนลง นอกจากนี้ธนาคารกลางอินโดนีเซียมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 6.00% จากเดิมที่ระดับ 6.25% โดยผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซียกล่าวว่าการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงต่ำอยู่ที่ประมาณ 2.5% ในปี 2025

🔹 กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและตลาดทุนที่กลับมาอีกทั้งประเทศไทยกำลังจะมี 3 Mega Project ขนาดใหญ่ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาทประกอบกับ GDP ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มสูงกว่าครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยยังคงมีความท้าทายจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ส่งผลต่อการปิดโรงงานและปลดคนงาน การตีตลาดของสินค้าจีนราคาถูก ตลอดจนปัญหาหนี้ครัวเรือนระดับสูงและโครงสร้างประชากรไทยที่ต้องพิจารณาในการลงทุนในระยะยาว

🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เรายังคงมุมมองคำแนะนำผ่านการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมในหลายประเภทสินทรัพย์ และหลากหลายภูมิภาค โดยแนะนำทยอยสะสมสินทรัพย์ประเภท Defensive เป็นพิเศษเพื่อรับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง เช่น กลุ่ม Healthcare ที่ยังมีการเติบโตที่น่าสนใจและยังมีมูลค่าที่ต่ำกว่าดัชนี เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนได้ และสะสมสินทรัพย์ Global REITs & Infrastructure ที่ยังมีพื้นฐานแข็งแกร่งและน่าสนใจช่วงที่ดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง ขณะที่ตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ยังแนะนำทยอยสะสมต่อไป ส่วนตลาดและสินทรัพย์อื่นๆ ที่ยังมีการเติบโตในระยะยาวแนะนำทยอยสะสมเมื่อตลาดมีการย่อตัว

INDEGO
Independence for Global Opportunities

#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด

✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.

  • SHARE
Contact
Contact