Waiting to Pounce
🔹 เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ราคาสินทรัพย์ทางการเงินส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความกังวลที่ Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงไว้ยาวนานกว่าคาด เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง
🔹 เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา สินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น จากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด เช่นเดียวกับตราสารหนี้และ REITs ที่ปรับตัวขึ้นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกับอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
🔹 ด้านคณะกรรมการ Fed มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ออีก 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบ 22 ปี ตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยเรามองว่า Fed มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อได้ในระดับที่จำกัดตามอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความแข็งแกร่ง ด้าน ECB ยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 3.75% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ขณะที่ BoJ ยังดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแม้อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
🔹 ด้านกลุ่มธนาคารในสหรัฐฯ ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รับอานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและสะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารขนาดเล็กเริ่มกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น โดยยังมีการกู้ยืมเงินจาก Fed ในระดับสูงเพื่อช่วยปรับสภาพคล่อง โดยเรามองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจและสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
🔹 นอกจากนี้ หากวิเคราะห์ผลการทำ Stress Test ของธนาคารในอังกฤษ โดย BoE แล้วพบว่าแม้ว่าจะมีการใช้สมมติฐานที่เลวร้ายกว่าในช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 ทั้งอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และอัตราการว่างงานในระดับสูงแล้ว ธนาคารในอังกฤษเหล่านี้ยังมีความแข็งแกร่ง สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจธนาคารในยุโรป และยังเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นในยุโรป
🔹 มาดูประเด็นที่ตลาดเฝ้าจับตาเป็นพิเศษอย่างเศรษฐกิจและภาวะตลาดหุ้นจีนกันบ้าง พบว่าในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนมีการเติบโต 6.3% จากปีก่อนในไตรมาสที่ 2 แต่อ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่งผลให้สถาบันการเงินต่างประเทศทยอยกันปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนและกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตามปธน. สี จิ้นผิง ได้มีการแถลงสร้างความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลจีนออกมา ทั้งนโยบายด้านอสังหาฯ และการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นให้มีการฟื้นตัว ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นจีนจะยังคงเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์อย่างต่อเนื่อง จึงควรควบคุมสัดส่วนการลงทุนในจีนอย่างเหมาะสมหรือใช้กลยุทธ์การลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนประกอบเพื่อกระจายความเสี่ยงไปด้วย
🔹 ด้านกลุ่มสินทรัพย์ Yield Play ทั้งตราสารหนี้และ REITs โลกเริ่มมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นจากแนวโน้มการปรับเพิ่มดอกเบี้ยต่อของ Fed เริ่มจำกัด โดยเฉพาะ REITs โลกที่เริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งกว่าคาด มองเป็นจังหวะทยอยสะสมที่น่าสนใจใน REITs โลก ที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Commercial Real Estate ในระดับต่ำ
🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เราแนะนำให้กระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมในหลายประเภทสินทรัพย์ และหลากหลายภูมิภาค โดยแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยต่อของ Fed ที่เริ่มจำกัด เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าที่คาด ตลอดจนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะเป็นปัจจัยผลักดันให้หลายสินทรัพย์กลับมาสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าสนใจท่ามกลางกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม
🔹 เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ราคาสินทรัพย์ทางการเงินส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความกังวลที่ Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงไว้ยาวนานกว่าคาด เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง
🔹 ประธาน Fed แถลงในงานประชุมประจำปีที่เมือง Jackson Hole ว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับสูงจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงอย่างมั่นคงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% แม้จะเริ่มเห็นความคืบหน้าแล้วก็ตาม ทั้งนี้ Fed จะระมัดระวังต่อการใช้นโยบายที่เข้มงวดเกินไปเช่นกัน ทำให้คาดว่าในการประชุมเดือน ก.ย. นี้ Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ต่อไป ด้าน กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2.25% ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ขณะที่ PBOC ผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR 0.10% สู่ระดับ 3.45% MLF 0.15% สู่ระดับ 2.50% และ Reverse Repo 0.10% สู่ระดับ 1.80%
🔹 เมื่อพิจารณาผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของตลาดหุ้นทั่วโลกพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีผลกำไรออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดมากเป็นอันดับต้น ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นอินเดียมีการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิที่โดดเด่น โดยญี่ปุ่นเติบโตจากภาคการส่งออกและการเปิดประเทศ ขณะที่อินเดียได้รับอานิสงส์จากการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่งนำโดยกลุ่มธนาคาร
🔹 สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมายังมีความแข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จากเดิมที่นักลงทุนเคยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะอ่อนแอลงและเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้านบริษัทจดทะเบียนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งเช่นกันนำโดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ท่ามกลางภาวะอัตราดอกเบี้ยสูง โดยช่วงที่ผ่านมาหลายบริษัทมีการปลดคนเพื่อลดต้นทุนส่วนหนึ่ง ประกอบกับในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ หลายบริษัทได้ทำการกู้เงินและล็อคต้นทุนทางการเงินในช่วงนั้นไว้เป็นจำนวนมาก โดยหนี้สินของบริษัทเหล่านี้จะครบกำหนดอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้งในช่วงหลังปี 2030 เป็นต้นไปทำให้เรามองว่าหุ้นสหรัฐฯ จะยังมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง มองเป็นจังหวะทยอยลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เมื่อตลาดมีการย่อตัวลงมา โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังมีความ Laggard
🔹 กลับมาที่ตลาดหุ้นไทยที่แม้ตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2 จะขยายตัวได้ 1.8% (YoY) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 3% (YoY) แต่ความชัดเจนทางการเมืองได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกครั้งโดยเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมรัฐสภาได้มีมติเลือก นาย เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ส่งผลให้ภาพการเมืองไทยกลับมามีความชัดเจนอีกครั้ง โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และนโยบายที่กดดันกลุ่มทุนน้อยลงเมื่อเทียบกับนโยบายของพรรคก้าวไกล เป็นปัจจัยบวกต่อตลาด ประกอบกับ valuation ของตลาดที่ยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อหุ้นไทยและมองเป็นจังหวะในการลงทุนที่ระดับดัชนี SET ไม่เกิน 1,570 จุด
🔹 ด้านตลาดหุ้นจีนยังมีความผันผวนจากความกังวลของภาคอสังหาฯ โดยช่วงที่ผ่านมา ตัวเลขยอดขายบ้านและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังอยู่ในทิศทางการชะลอตัว ขณะที่บริษัทพัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่และ Trust หลายแห่งยังเผชิญปัญหาสภาพคล่องส่งผลให้บริษัท Country Garden ผู้พัฒนาอสังหาฯ เอกชนรายใหญ่อันดับต้นของจีนมีแนวโน้มผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ต่างประเทศ ด้านบริษัท Zhongrong International Trust หนึ่งใน Shadow Bank รายใหญ่ที่สุดของจีนได้ผิดนัดชำระหนี้มูลค่ากว่า 2.3 แสนล้านหยวน นอกจากนั้น China Evergrande ยังได้ยื่นขอล้มละลายต่อศาลในนิวยอร์คเพื่อปกป้องทรัพย์สินในต่างประเทศระหว่างการปรับโครงสร้างการเงิน โดยเรามองเหตุการณ์ของ Country Garden จะส่งผลกระทบน้อยกว่ากรณีของ China Evergrande ผิดนัดชำระในปี 2021 ซึ่งมีการผิดนัดชำระของบริษัทอสังหาฯ ในจีนสูงถึง 40% ไปแล้ว ประกอบกับส่วนแบ่งตลาดของบริษัทอสังหาฯ เปลี่ยนแปลงไปเป็นบริษัทประเภท SOE ที่มีรัฐบาลถือหุ้น เป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งมากสุดใน 4 อันดับแรก ทำให้เราคาดว่ารัฐบาลมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการเข้ามาช่วยเหลือตลาดมากขึ้นในอนาคต
🔹 นอกเหนือจากตลาดขนาดใหญ่ที่สำคัญหลายตลาดแล้ว เรามองเห็นโอกาสของตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นมากขึ้นด้วยระดับการเติบโตของ GDP ที่มีแนวโน้มสูงกว่า 5% ต่อปีในช่วง 3 ปีนี้ สอดคล้องกับการเติบโตของกำไรของตลาดหุ้น และยังมีการฟื้นตัวของระดับราคาที่ช้า ทำให้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียมี valuation ที่สนใจที่ระดับ P/E เพียง 13.24 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ราว 15.4 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความน่าสนใจเช่นกัน จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังรัฐบาลปรับลด VAT และธนาคารกลางได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และระดับ valuation ของตลาดหุ้นที่ยังค่อนข้างถูก
🔹 ด้านกลุ่มสินทรัพย์ Yield Play ตราสารหนี้ยังให้อัตราผลตอบแทนในระดับสูง โดยผลของการปรับลด Credit Rating ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการประมูลพันธบัตรสหรัฐฯ ที่จำกัด ขณะที่ตราสารหนี้ไทยเริ่มให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากมากยิ่งขึ้น จากแรงหนุนของอัตราดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบกว่า 9 ปี ด้าน REITs ไทย ยังไม่มีปัจจัยสนับสนุนมากนัก แม้จะมีความชัดเจนต่อการต่อสัญญาสิทธิการเช่าของ CPNREIT แล้ว แต่ระดับราคายังไม่ได้น่าสนใจมากนัก มองโอกาสการลงทุนในหุ้นไทย หรือ REITs โลกมีความน่าสนใจมากกว่า REITs ไทย
🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เราแนะนำให้กระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมในหลายประเภทสินทรัพย์ และหลากหลายภูมิภาค โดยแนะนำสะสมหุ้นไทยเพิ่มจากความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ทยอยสะสมหุ้นอินโดนีเซียที่ยัง Laggard และรอจังหวะในการสะสมหุ้นสหรัฐฯ ที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งเพิ่มเติมเมื่อมีการย่อตัว ขณะที่ตราสารหนี้ยังแนะนำทยอยสะสมต่อไปจากระดับอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับสูงแล้ว