The Tale of Two Blocs

🔹 เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยบวกหลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ลง 0.25% รวมถึงมีการส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นนำตลาด ซึ่งได้แรงหนุนจากตัวเลขกำไรอุตสาหกรรมที่เติบโตโดดเด่น และจากนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ อย่างไรก็ตาม ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นที่สุดในเดือนนี้ ท่ามกลางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง

INDEGO Monthly Outlook
October 2025
“The Tale of Two Blocs”

🔹 เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยบวกหลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ลง 0.25% รวมถึงมีการส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นนำตลาด ซึ่งได้แรงหนุนจากตัวเลขกำไรอุตสาหกรรมที่เติบโตโดดเด่น และจากนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ อย่างไรก็ตาม ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นที่สุดในเดือนนี้ ท่ามกลางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง

🔹 ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นปิดบวกได้ในเดือนที่แล้วคือการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ซึ่งนับเป็นการลดครั้งแรกของปีนี้ ท่ามกลางแนวโน้มเงินเฟ้อ การชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูง และยังคงคาดการณ์ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ Jerome Powell ประธาน Fed ได้เน้นย้ำว่า Fed พยายามรักษาสมดุลเป้าหมายสองด้าน (dual mandate) เรื่องเสถียรภาพราคาและการจ้างงาน

🔹 สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำทั้งในธุรกิจระดับโลกและนวัตกรรม พร้อมได้แรงหนุนจากกฎหมาย One Big Beautiful Bill Act ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนครั้งใหญ่ของภาคเอกชนสหรัฐฯ โดยข้อมูลการลงทุนของภาคเอกชนในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นการเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2025 เรามองว่าการลงทุนรอบนี้จะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในระยะถัดไป โดยหุ้นในกลุ่ม AI Value Chain มีการปรับตัวขึ้นมาในกลุ่ม Semiconductor และ Hyperscaler แล้วในปีนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่ม Cloud software as a service ที่นำ AI มาใช้ ยังคง Laggard จึงมองว่าเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นกลุ่ม Cloud

🔹 ขณะที่ทางจีนได้มีการหนุนการพึ่งพาตนเองในอุตสาหกรรม AI เพื่อที่จะแย่งชิงความเป็นผู้นำจากทางสหรัฐฯ สะท้อนผ่านการคาดการณ์ว่าบริษัทจีนจะพิ่มส่วนแบ่งการตลาดชิป AI เป็น 50% รวมถึงฝั่งโรงงานผลิตชิปของจีนก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับขนาดของตลาด AI โดยรวม เมื่อพิจารณารายบริษัท กลุ่ม BAT คาดว่าจะมีการลงทุน CAPEX ใน AI รวมตั้งแต่ปี 2025-2028 กว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้าน SMIC บริษัทโรงงานผลิตชิป AI ของจีน มีการเพิ่มกำลังการผลิตคู่ไปกับ utilization rates อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Cambricon ซึ่งเปรียบเสมือน Nvidia ของจีน มีการเติบโตของรายได้และกำไรที่โดดเด่น และแม้ว่าราคาหุ้นกลุ่ม Terrific 10 จะปรับตัวขึ้นมาแรงกว่ากลุ่ม Magnificent 7 ของทางสหรัฐฯ แต่ราคายังอยู่ระดับต่ำกว่าเมื่อช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา รวมถึงมี Valuation ที่ต่ำกว่า สะท้อนว่าบริษัทจีนยังมี upside ที่เปิดกว้างในอนาคต

🔹 ท่ามกลางการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่ดุเดือด การผลิตชิป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือแบตเตอรี่รถยนต์ EV นั้น ล้วนต้องใช้วัตถุดิบสำคัญนั่นก็คือ “Rare Earth” ซึ่งจนถึงปัจจุบันจีนยังคงเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุตสาหกรรมนี้ โดยล่าสุดจีนได้ใช้มาตรการควบคุมและระงับการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Rare Earth ไปยังสหรัฐฯ ส่งผลให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องลดการนำเข้าและผลักดันให้มีการพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ จึงต้องเพิ่มการลงทุนด้านดังกล่าวหลายโครงการ ท่ามกลางอำนาจการต่อรอง และความต้องการที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนี้ ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบดังกล่าว รวมถึงราคา ETF ที่เกี่ยวข้องกับ Rare Earth กลับตัวเป็นขาขึ้นแล้วในปีนี้

🔹 ฟากยุโรปนั้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปที่สามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดการณ์ อย่างไรก็ดี เรามองว่า ECB มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มได้อีกในอนาคต ท่ามกลางเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่ำกว่าเป้าหมายของ ECB อย่างไรก็ตาม บรรยากาศของตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดันในช่วงที่ผ่านมา จากประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของยุโรปอย่างฝรั่งเศส ที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากภาระหนี้สาธารณะสูงถึงราว 115% ของ GDP อันเป็นผลจากการขาดดุลการคลังต่อเนื่อง และลุกลามไปถึงเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลฝรั่งเศส ทั้งนี้ Rolling Correlation ระหว่าง CAC40 และตลาดหุ้นยุโรปอยู่ในทิศทางที่ลดลงสะท้อนว่าความเสี่ยงยังคงจำกัดอยู่ในฝรั่งเศส ขณะที่มีสัดส่วนฝรั่งเศสใน MSCI Europe Index อยู่เพียงราว 16% ทำให้ผลกระทบต่อทั้งภูมิภาคมีขอบเขตจำกัด

🔹 ทางด้านตลาดหุ้นอินเดียได้เผชิญความผันผวนในระยะสั้น จากผลกระทบของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงสุดถึง 50% ประกอบกับการประกาศลดภาษี GST ซึ่งแม้ช่วยลดภาระภาษีโดยรวม แต่ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายชั่วคราว ส่งผลกระทบไปยัง Real GDP และ Earnings ที่ชะลอตัวในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในปีหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่ค่อยๆ ฟื้นตัวตามผลของการลดภาษี GST

🔹 อีกหนึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างอินโดนีเซีย ที่แม้จะได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของ EPS การแทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลาง และระดับ Valuation ที่ยังอยู่ในเกณฑ์น่าสนใจ แต่ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และความโปร่งใสในโครงการของรัฐบาล

🔹 ดัชนี SET Index กลับมาซื้อขายบนระดับ Dividend Yield Gap ที่ระดับ +2SD ซึ่งเป็นระดับที่หุ้นไทยมีราคาถูกเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับพันธบัตรไทย ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นเพียงในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดโรคโควิดเท่านั้น และจากสถิติที่ผ่านมาพบว่า การลงทุนในหุ้นไทยช่วงเวลาดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 1 ปีถัดไป เราจึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยกลุ่มปันผลสูงในพอร์ตการลงทุนและลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ไทย

🔹 สำหรับมุมมองของเราในเดือนนี้ เราแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรระยะสั้นเพื่อเก็บกำไรและ rebalance พอร์ตสำหรับหุ้นโลกและสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นมาร้อนแรง และทยอยสะสมสินทรัพย์เสี่ยงอย่างระมัดระวังสำหรับการลงทุนระยะยาวโดยแนะนำสะสมกองทุนหุ้นจีน อินเดีย และเวียดนาม ตราสารหนี้โลกและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึง Defensive Asset เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี อยู่เหนือระดับ 4% และอัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจในรอบทศวรรษ นอกจากนี้ยังมีโอกาสทำกำไรหากเศรษฐกิจชะลอตัว และยังได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอจากดอกเบี้ย

อ่านฉบับเต็มคลิก : https://www.indegowealth.com/wp-content/uploads/2025/10/INDEGO-WEALTH-Monthly-Presentation-Oct-2025-PB.pdf

INDEGO
Independence for Global Opportunities

#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด

✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.

  • SHARE
Contact
Contact