สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 กลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้งทั่วโลกโดยเฉพาะแถบตะวันตกอย่างสหรัฐฯ และประเทศในยุโรปที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง จนต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดอีกครั้ง ประกอบกับเชื้อที่กลายพันธุ์ในอังกฤษเริ่มมีการระบาดรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตามการอนุมัติการใช้งานวัคซีนแบบในวงจำกัดและวงกว้างรวมกันกว่า 10 ชนิด น่าจะเริ่มทำให้สถานการณ์ในอนาคตเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นได้บ้างและสามารถเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้ง

ด้านธนาคารกลางและรัฐบาลทั่วโลกยังคงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ขยายขนาดโครงการเข้าซื้อสินทรัพย์ภายใต้โครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) อีก 5 แสนล้านยูโร รวมเป็นวงเงิน 1.85 ล้านล้านยูโรจนถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2022 และจะ Reinvest พันธบัตรภายใต้โครงการ PEPP จนถึงสิ้นปี 2023 ส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ทางการเงินเพิ่มเติม

สำหรับประเด็นสำคัญของเดือน ม.ค. นี้เป็นเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ โจ ไบเดน โดยผลการเลือกตั้งล่าสุดสะท้อนภาพคะแนนเสียงของพรรคเดโมแครตที่สามารถครองเสียงข้างมากได้ทั้ง 2 สภา หรือที่เรียกว่า Blue Wave โดยกรณีดังกล่าวน่าจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของไบเดนสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ชุดใหญ่ออกมาในอนาคตได้ไม่ยาก โดยก่อนหน้านี้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เซ็นอนุมัติวงเงินในการเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขนาด 9 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 27 ธ.ค. 2020 หลังการเจรจาที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือนระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน โดยมาตรการดังกล่าวมีการช่วยเหลือประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งประชาชนทั่วไปที่จะได้รับเงินคนละ 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัปดาห์และผู้ที่อยู่นอกตลาดแรงงาน ซึ่งจะได้รับเพิ่มอีกคนละ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัปดาห์เป็นเวลา 11 สัปดาห์ สิ้นสุดวันที่
14 มี.ค. 2021 และยังมีการพุ่งเป้าในการช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงการให้เงินอัดฉีดเพื่อพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีน รวมถึงตรวจหาผู้ติดเชื้อ COVID-19

ทั้งนี้เรามองว่าผลการเลือกตั้งในลักษณะ Blue Wave มีแนวโน้มเอื้อประโยชน์ต่อหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นโลกกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่น่าจะมีการออกมาเพิ่มเติม ในขณะที่หากรัฐบาลไบเดนมีการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลและออกนโยบายควบคุมอำนาจการผูกขาดทางเทคโนโลยีจะกระทบหุ้นกลุ่มดังกล่าวในระดับที่จำกัดกว่า นอกจากนั้นหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดจะเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายการสนับสนุนพลังงานสะอาดของไบเดน ด้วยงบประมาณคาดการณ์ที่เตรียมไว้สนับสนุนกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้เรามองว่าแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นตลาดเกิดใหม่ให้มีเม็ดเงินไหลเข้าไปได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับในเดือนนี้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นจีน หุ้นเอเชีย และลงทุนเพิ่มเติมในหุ้นตลาดเกิดใหม่จากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ด้านหุ้นไทยเริ่มมีทิศทางที่ดูดีขึ้นจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าหุ้นตลาดเกิดใหม่ และแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดเพื่อรับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของไบเดน ขณะที่การลงทุนในทองคำอาจเริ่มมีความน่าสนใจลดลงบ้างหลังความคืบหน้าของวัคซีนออกมาไวกว่าที่คาด ด้าน REITs ยังคงมีความน่าสนใจในระยะกลางตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกับตราสารหนี้ที่ควรลงทุนในกลุ่มที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยเดือนนี้แนะนำให้เฝ้าติดตามการการส่งต่อตำแหน่งประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐฯ และสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 รวมถึงการแจกจ่ายวัคซีนอย่างต่อเนื่อง