The Uncertainty in Transition, the Year of Capital Reallocation
🔹 ผ่านไปแล้วกับปี 2023 ปีที่เศรษฐกิจโลกเติบโตดีเกินคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกนำมาโดยตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวจากตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง และนโยบายสนับสนุนด้านการลงทุนของภาครัฐ ยุโรปที่บริหารจัดการวิกฤตพลังงานได้และเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยช้ากว่าคาด และญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวหลังจากออกจากภาวะเงินฝืดเรื้อรังและการปรับโครงสร้างบริษัทของตลาดและธรรมาภิบาล ขณะที่เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่มีการเติบโตที่แตกต่างกัน โดยมีเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัวลงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่หุ้นไทยได้รับปัจจัยกดดันหนักจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ความไม่แน่นอนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนวิกฤตความเชื่อมั่นของการทุจริตของบริษัทจดทะเบียนในตลาด และการกำกับดูแลการซื้อขายต่างๆ เช่น Short Sell และ Program trading แม้ว่าตลาดหุ้นโลกจะฟื้นตัวขึ้นมาได้หลังปรับตัวลงแรงในปี 2022 แต่กลับเป็นการฟื้นตัวที่นำมาโดยหุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่กระจุกตัวจากกระแส AI เพียง 7-10 ตัวใหญ่ที่เป็นตัวผลักดันดัชนี ด้านตราสารหนี้และ REITs เริ่มฟื้นตัวจากความร้อนแรงของการขึ้นดอกเบี้ยที่ลดลง ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามอิสราเอล-ฮามาส และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงแรงในช่วงปลายปีจากความกังวลของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
INDEGO Market Outlook & Investment Strategy 2024
“The Uncertainty in Transition, the Year of Capital Reallocation”
🔹 ผ่านไปแล้วกับปี 2023 ปีที่เศรษฐกิจโลกเติบโตดีเกินคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกนำมาโดยตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวจากตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง และนโยบายสนับสนุนด้านการลงทุนของภาครัฐ ยุโรปที่บริหารจัดการวิกฤตพลังงานได้และเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยช้ากว่าคาด และญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวหลังจากออกจากภาวะเงินฝืดเรื้อรังและการปรับโครงสร้างบริษัทของตลาดและธรรมาภิบาล ขณะที่เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่มีการเติบโตที่แตกต่างกัน โดยมีเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัวลงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่หุ้นไทยได้รับปัจจัยกดดันหนักจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ความไม่แน่นอนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนวิกฤตความเชื่อมั่นของการทุจริตของบริษัทจดทะเบียนในตลาด และการกำกับดูแลการซื้อขายต่างๆ เช่น Short Sell และ Program trading แม้ว่าตลาดหุ้นโลกจะฟื้นตัวขึ้นมาได้หลังปรับตัวลงแรงในปี 2022 แต่กลับเป็นการฟื้นตัวที่นำมาโดยหุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่กระจุกตัวจากกระแส AI เพียง 7-10 ตัวใหญ่ที่เป็นตัวผลักดันดัชนี ด้านตราสารหนี้และ REITs เริ่มฟื้นตัวจากความร้อนแรงของการขึ้นดอกเบี้ยที่ลดลง ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามอิสราเอล-ฮามาส และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลงแรงในช่วงปลายปีจากความกังวลของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
🔹 มองไปข้างหน้าในปี 2024 เรามองว่าโลกจะยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านในหลายด้าน แต่กลับยังมีความไม่แน่นอนสูงอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจและการเมืองในหลายประเทศทั่วโลก โดยในปี 2024 จะเป็นปีที่ความขัดแย้งในหลายประเทศอาจรุนแรงขึ้น และเป็นปีที่มีการเลือกตั้งในหลายประเทศสำคัญทั่วโลกซึ่งจะเป็นตัวกำหนดนโยบายที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะ สหรัฐฯ ไต้หวัน และอินเดีย
🔹 ขณะที่ด้านเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามวัฏจักรหลังอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง แต่อาจไม่ได้ถดถอยอย่างรุนแรงหากธนาคารกลางสำคัญเริ่มลดความเข้มงวดลงในปี 2024 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเองก็น่าจะเริ่มมีทิศทางชะลอตัวลง ถึงแม้ว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตโดยเฉพาะช่วงหลังวิกฤตก็ตาม ซึ่งด้วยความที่เป็นปีแห่งความไม่แน่นอนนี้เอง จะทำให้สินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้ค่อนข้างแน่นอนอย่างตราสารหนี้ REITs และ Infrastructure โลกกลับมาโดดเด่นมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราควรพึงระลึกอยู่เสมอในโลกการลงทุนหลังจากนี้ก็คือ การไม่มีแรงส่งจากภาวะดอกเบี้ยขาลงในรอบใหญ่ถึง 20% เหมือนในรอบกว่า 40 ปีที่ผ่านมาอีกแล้ว และสภาพคล่องที่เคยล้นตลาดก็มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยนี้จะเป็นตัวที่ทำให้ตลาดในปี 2024 จะให้ความสำคัญมากขึ้นกับสภาพคล่อง และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการจัดสรรเม็ดเงินลงทุนใหม่ทั่วโลกในหลายสินทรัพย์และนำไปสู่การปรับมูลค่าเข้าสู่จุดที่สมดุลในราคาที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำและยังไม่ได้มีการปรับมูลค่าเข้าจุดสมดุลใหม่ได้มากพอ เช่น Private Equity หรือ Private Real Estate
🔹 นอกจากประเด็นด้านสภาพคล่องที่จะส่งผลต่อตลาดมากยิ่งขึ้นแล้ว สัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค ตลอดจนการเข้มงวดของการปล่อยกู้ในภาคธนาคาร และการครบกำหนดของหุ้นกู้ ส่งผลให้ความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นจะเป็นชนวนสำคัญต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน การลงทุนจึงต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์มากยิ่งขึ้น
🔹 ด้านโอกาสแห่งการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ยังคงมีความน่าสนใจหากความเข้มงวดนโยบายการเงินของ Fed เริ่มลดลง โดยจีนยังต้องลุ้นการฟื้นตัวจากระดับมูลค่าหุ้นที่ต่ำและผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเริ่มส่งผล แต่ยังมีความท้าทายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จากทั้งปัจจัยทางโครงสร้างในประเทศ และข้อพิพาทกับชาติตะวันตก เช่นเดียวกับไทยที่หุ้นปรับตัวลงมาในระดับ valuation ที่น่าสนใจ มีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งนี้เรามองว่าดาวเด่นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่ยังมีการเติบโตที่ดีในระยะยาวและได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต และการเป็นคู่ค้าในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น เช่น เวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากวัฏจักร Semiconductor ที่ฟื้นตัวอย่างไต้หวันและเกาหลีใต้
🔹 นอกจากนี้การลงทุนในปี 2024 เรามองว่าด้วยตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแต่ถูกกระจุกตัวอยู่ในหุ้นใหญ่ 7-10 ตัว จากกระแส AI จะทำให้โอกาสการลงทุนที่น่าสนใจไปอยู่ในหุ้นที่ยังมีการเติบโตที่โดดเด่นและยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าดัชนี โดยเราแนะนำให้หาโอกาสในการลงทุนจากธีมการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ (Transition) จากทั้งเรื่องของอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ Deglobalization Decarbonization Demographic และ Disruption รวมถึงการใช้สินทรัพย์ทางเลือก และ Structured Products ที่สร้างผลตอบแทนได้โดยมีการจำกัดการขาดทุนในการเสริมผลตอบแทนและช่วยบริหารความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม
🔹 สำหรับกลยุทธ์ในการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2024 ตามธีม “The Uncertainty in Transition, the Year of Capital Reallocation” เราแนะนำให้จัดพอร์ตการลงทุนแบบสมดุลในหลายสินทรัพย์เพื่อก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่มีหลายปัจจัยแห่งความไม่แน่นอน โดยมุ่งเน้นไปที่การคัดเลือกเชิงรุกในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าที่เหมาะสมท่ามกลางตลาดที่สภาพคล่องมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยเรามองว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงจะยิ่งเป็นช่วงเวลาที่สนับสนุนต่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดที่มีความแน่นอนสูง หรือ กลุ่ม Yield Play ที่มีคุณภาพ เช่น ตราสารหนี้ REITs และ Infrastructure โลก ขณะที่การลงทุนในหุ้นยังแนะนำควบคุมสัดส่วนในระดับกลาง และทยอยสะสมหุ้นคุณภาพหรือกลุ่มที่มีการเติบโตในระยะยาวทีละน้อยตามระดับราคาที่ได้สะท้อนการชะลอตัวทางเศรษฐกิจหรือได้รับผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยสูงไปพอสมควรแล้วเพื่อรอการฟื้นตัวในวัฏจักรการเติบโตครั้งถัดไป ประกอบกับจับจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพรองลงมา แต่ยังเกาะกระแสการเติบโตในระยะยาวได้ และกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น Structured Products ที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงขึ้นในตลาด Sideway และ ทองคำ ที่จะช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตในช่วงเวลาที่ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรงขึ้น โดยเรามองว่าปี 2024 นี้ พอร์ตการลงทุนแบบ Asset Allocation จะกลับมาได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงที่มากขึ้น และเหมาะกับการทยอยเพิ่มความเสี่ยงกลับมาในจังหวะที่เหมาะสมอีกครั้งตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกที่สะท้อนภาวะการชะลอตัวไปเรียบร้อยแล้วในระยะถัดไป
INDEGO
Independence for Global Opportunities
#ยืนหนึ่งเรื่องกองทุนต้อง INDEGO
#รู้ลึกรู้จริง วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
#ให้คำปรึกษาที่เป็นกลางที่สุด
✅ สำหรับผู้สนใจลงทุนผ่านบริการของ INDEGO สามารถติดต่อลงทุนและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: https://indegowealth.com
📧 อีเมล [email protected]
📞 โทร: 02-233-9995
🗓 ทุกวันทำการ จันทร์ – ศุกร์ เวลา 8:30 – 17:30 น.